สารบัญ
Toggleเจาะลึกทุกประเด็น! คู่มือดูแลตัวเองคุณแม่หลังคลอด โดยคุณหมอสูติฯ
สำหรับการเดินทางสู่การเป็นคุณแม่นั้น การให้กำเนิดลูกน้อยคือการเริ่มต้นที่แท้จริง ช่วงหลังคลอดเป็นช่วงเวลาสำคัญที่คุณแม่ต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ ทั้งเรื่องการฟื้นตัวของร่างกาย การให้นมบุตร และการปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตใหม่ Brusta ขอพาทุกท่านเข้าสู่บทความในซีรีส์ “Brusta ปรึกษาการฝากครรภ์กับคุณหมอพิชัย” โดย นพ. พิชัย ลือประสิทธิ์สกุล สูตินรีเวชกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ที่จะมาไขข้อสงสัยและเตรียมความพร้อมสำหรับช่วงเวลาหลังคลอด เพื่อให้คุณแม่ก้าวผ่านช่วงเวลาอันสำคัญนี้อย่างมีความสุข
Q: หลังคลอดคุณหมอจะนัดตรวจอะไรคุณแม่บ้าง?
A: จะมีการนัดตรวจคุณแม่หลังคลอดประมาณ 1 เดือน เพื่อตรวจดูว่ามดลูกเข้าอู่ดีหรือไม่ และมีการติดเชื้อในช่องคลอดรึเปล่า เนื่องจากคนท้องมักจะเป็นเชื้อราในช่องคลอดช่วงตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่จะเกิดในไตรมาสที่ 3 จะพบได้ร้อยละ 36-55 หรือประมาณ 1 ใน 3 ถึง 1 ใน 2 ของคุณแม่ตั้งครรภ์ บางครั้งเชื้อราอาจยังคงอยู่จนถึงช่วงหลังคลอดได้เช่นกัน ถ้าตรวจเจอก็จะทำการรักษาและให้คำแนะนำในการปฎิบัติตัวต่าง ๆ นอกจากนี้ ในช่วงหลังคลอดเราจะมีการตรวจแปปสเมียร์ Pap Smear เพื่อตรวจมะแร็งปากมดลูกให้ด้วย
Q: คุณแม่หลังคลอดน้ำนมจะเริ่มมาตอนไหน?
A: การสร้างน้ำนมจะเกิดขึ้นหลังจากรกคลอดแล้ว ในร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์จะมีระดับฮอร์โมนโปรแลคตินที่สูงมาก แต่ไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนจากรกยับยั้งไว้ เมื่อคลอดรกแล้วระดับเอสโตรเจนในกระแสเลือดจะลดลง ทำให้โปรแลคตินสามารถทำงานได้ ในช่วง 2 วันแรกจะเป็นน้ำนมเหลือง (Colostrum) ก่อน จากนั้นในวันที่ 3 น้ำนมจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขุ่นขาว โดยทั่วไปน้ำนมจะเริ่มมาอย่างชัดเจนที่สุดในวันที่ 3 หลังคลอด แต่บางรายอาจใช้เวลาถึงวันที่ 7 ในช่วงนี้ แนะนำคุณแม่ต้องดื่มน้ำให้เยอะนิดนึง อย่างน้อยวันละประมาณ 3 ลิตร และให้ลูกดูดนมแม่บ่อย ๆ ทุก ๆ 2 – 3 ชั่วโมง เพราะการดูดนมจะช่วยกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองส่วนหน้าหลั่งโปรแลคตินมากขึ้น และทำให้การสร้างน้ำนมดียิ่งขึ้น อาการเต้านมคัดมักจะเกิดวันที่ 3 หลังคลอด ซึ่งทางฝ่ายพยาบาลจะมีผู้เชี่ยวชาญคอยมาช่วยนวดเต้านมให้ เวลานวดจะรู้สึกเจ็บมาก เพราะเวลาเต้านมคัดจะปิดกั้นท่อน้ำนม ทำให้น้ำนมออกไม่ได้ อาจทำให้คุณแม่มีไข้ขึ้น เจ็บหน้าอก บางทีกลายเป็นฝีที่เต้านมได้
Q: การวางแผนการคุมกำเนิดหลังคลอดมีวิธีใดบ้าง?
A: เรื่องการคุมกำเนิดมีหลายวิธีให้เลือก ทั้งการใช้เม็ดยาคุมกำเนิด การฉีดคุมกำเนิด การฝังฮอร์โมน หรือการใส่ห่วงอนามัย ซึ่งขึ้นอยู่กับความชอบและความเหมาะสม โดยปกติแล้วในช่วง 10 สัปดาห์แรกหลังคลอด โอกาสตั้งครรภ์จะค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะในกรณีที่คุณแม่ให้ลูกดูดนม เพราะการที่ลูกดูดนมจะเกิดภาวะไข่ไม่สุก เพราะร่างกายคุณแม่ระดับโปรแลคตินจะสูงมาก ซึ่งจะยับยั้งการตกไข่ ทำให้ประจำเดือนไม่มา คุณแม่หลังคลอดบางท่านอาจไม่มีประจำเดือนนานถึง 1 ปี โอกาสที่จะตั้งครรภ์ในช่วง 6 เดือนแรกมีเพียงร้อยละ 1 แต่หลังจากเดือนที่ 6 ไปแล้วอาจเริ่มมีการตกไข่ได้ ก็ต้องระวังนิดนึง ถ้ากลัวมีลูกถี่เกินไปให้ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องใส่ถุงยางอนามัยป้องกันเวลามีเพศสัมพันธ์
Q: การอยู่ไฟหลังคลอดจำเป็นแค่ไหน?
A: ในความเห็นหมอ การอยู่ไฟในปัจจุบันไม่ค่อยจำเป็นเท่าในสมัยก่อน เมื่อ 50 – 60 ปีที่แล้ว การคลอดยังไม่มีการเย็บแผล คุณแม่จะถูกบังคับให้นอนหนีบขาบนแผ่นไม้แล้วใช้ไฟอังไว้ ทำให้น้ำหนักตัวคุณแม่ลดลงรวดเร็ว และมีข้อห้ามต่าง ๆ เพราะความกังวลเรื่องการติดเชื้อ แต่ในปัจจุบันเรามียาที่ดีหลายชนิด เช่น ยาฆ่าเชื้อ และยาห้ามเลือดต่างๆ คุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนจะได้รับยาป้องกันการตกเลือดเนื่องจากมดลูกไม่บีบรัดตัว เช่น ยาออกซิโทซิน (Oxytocin), ดูราโทซิน (Duratocin) และเมเธอร์จิน (Methergine) ซึ่งช่วยให้การคืนรูปของมดลูกและอวัยวะต่าง ๆ ภายในกลับมาเป็นปกติได้เองภายใน 1 เดือน การอยู่ไฟในแง่ของการทำสปาจะได้ประโยชน์มากกว่า ช่วยให้คุณแม่สบายตัว มีการนวด และการประคบร้อน ช่วยผ่อนคลายคุณแม่ได้ดี แต่ในด้านการช่วยให้มดลูกเข้าอู่ต่าง ๆ จะเป็นไปตามธรรมชาติของร่างกาย
Q: สิ่งที่คุณหมอกังวลคุณแม่หลังคลอด?
A: ช่วงหลังคลอดที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือภาวะอารมณ์ซึมเศร้า จะเกิดขึ้นในช่วง 1 – 2 สัปดาห์แรก แต่บางคนก็เป็นนานกว่านั้น โดยเฉพาะในกลุ่มคุณแม่ที่มีประวัติภาวะซึมเศร้ามาก่อน ในกรณีแบบนี้ก็ต้องใช้ยาเข้าช่วย ในช่วงนี้สามีและญาติพี่น้องจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยดูแลลูกน้อย คุณแม่หลายคนอาจร้องไห้เพราะรู้สึกสูญเสียอิสรภาพในการทำกิจกรรมส่วนตัว เพราะต้องอยู่กับลูกตลอดเวลา ในช่วง 1 เดือนแรกหลังคลอด คุณแม่จะอดหลับอดนอน และคุณแม่หลายคนจะร้องไห้เพราะสู้ไม่ไหว แต่หลังจากสัปดาห์ที่ 6 เป็นต้นไป เด็กจะเริ่มเลี้ยงง่ายขึ้น เริ่มนอนยาว 4 ชั่วโมงตื่น และเริ่มนอนเป็นเวลามากขึ้น ในช่วง 1 เดือนครึ่งแรกหลังคลอด เด็กบางคนจะไม่ยอมนอนกลางคืนเพราะยังคุ้นเคยกับตอนอยู่ในครรภ์ที่กลางคืนจะขี้เล่นและกลางวันจะขี้เซา ถ้าเด็กหลับนานตอนกลางวันและไม่ยอมดูดนม จะได้รับน้ำนมไม่เพียงพอ อาจทำให้เด็กตัวเหลืองได้ เพราะเลือดจะข้นขึ้น คุณแม่ต้องคะยั้นคะยอให้ลูกยอมดูดนมให้ได้ทุก ๆ 2 – 3 ชั่วโมงในช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืน คุณแม่ต้องพยายามหาเวลางีบหลับเพื่อพักผ่อนและเก็บแรงไว้
ช่วงเวลาหลังคลอดอาจเป็นช่วงที่ท้าทาย แต่ก็เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ของการเป็นแม่ การดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจของคุณแม่เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้การดูแลลูกน้อย การได้รับการสนับสนุนจากคนรอบข้าง การพักผ่อนให้เพียงพอ และการไม่ลืมดูแลตัวเอง จะช่วยให้คุณแม่สามารถปรับตัวเข้ากับบทบาทใหม่ได้อย่างมีความสุขและแข็งแรง ขอส่งกำลังใจให้คุณแม่หลังคลอดทุกท่านนะคะ
ติดตามบทความ Brusta ในตอนต่อไป เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับทุกก้าวของการเป็นคุณแม่