Web Analytics Made Easy - Statcounter

คุณแม่ตั้งครรภ์ทานอะไรดี คุณหมอสูติฯ ขอแนะนำอาหารของคนท้อง

อาหารของคนท้องต้องเลือกที่มีประโยชน์และเหมาะสม

สารบัญ

คุณแม่ตั้งครรภ์ทานอะไรดี คุณหมอสูติฯ ขอแนะนำอาหารของคนท้อง

          ในช่วงตั้งครรภ์คุณแม่ควรดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ และอาหารของคนท้องก็สำคัญไม่แพ้กันต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสม โดยเฉพาะในเรื่องของวิตามินและอาหารเสริมที่จำเป็นสำหรับพัฒนาการของลูกน้อย เพื่อให้คุณแม่มั่นใจและได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง บทความนี้จากซีรีส์ Brusta ปรึกษาการดูแลครรภ์กับคุณหมอพิชัย ได้รวบรวมคำแนะนำดีๆ จาก นพ. พิชัย ลือประสิทธิ์สกุล สูตินรีเวชกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน มาฝากค่ะ 

Q: คุณแม่ตั้งครรภ์ควรเลือกทานอาหารของคนท้องอย่างไร?

A: ส่วนใหญ่คุณแม่จะทานอาหารได้เก่งขึ้น แต่ขอเตือนว่าอย่าไปทานกลุ่มหวานและกลุ่มแป้งเยอะเกินไป คุณแม่ควรบาลานซ์การทาน หมอขอแนะนำให้เริ่มทานจากผักก่อน แล้วตามด้วยโปรตีน และสุดท้ายเป็นพวกแป้ง วิธีนี้จะทำให้เราทานแป้งน้อยลง และผักก็จะช่วยสกัดไม่ให้น้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดมากเกินไป นอกจากนี้ ไข่ยังเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี คุณแม่สามารถทานไข่ได้วันละประมาณ 2 3 ฟอง 

Q: คุณแม่ควรดูแลตัวเองและมีเทคนิคการกินอย่างไรเพื่อลดอาการแพ้ท้อง?

A: สำหรับอาการแพ้ท้อง เราแนะนำให้คุณแม่รับประทานอาหารทีละน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง หลีกเลี่ยงของมัน ของทอด ส่วนยาที่ช่วยลดอาการแพ้ท้องที่แนะนำคือวิตามินบาดสูง ประมาณวันละ 100 มิลลิกรัม นอกจากนี้ มียาแก้แพ้ท้องบางชนิด เช่น พาิล (Pasill), โมทิเลี่ยม (Motilium) หรือ รามาีน (Dramamine) ที่สามารถใช้ได้ โดยเฉพาะยาบางตัวอย่างรามาีน หากทานก่อนนอนจะช่วยให้คุณภาพการนอนหลับดีขึ้นได้ด้วย คุณแม่ส่วนใหญ่มักจะดื่มน้ำเปล่าไม่ได้เพราะรู้สึกเหม็น เราจึงแนะนำให้ทานน้ำหวานแทน ซึ่งในช่วงนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเบาหวาน เพราะการตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์จะเริ่มในช่วงอายุครรภ์ประมาณ 6 เดือน หรือ 24 – 28 สัปดาห์ การจิบน้ำหวานทีละน้อย ๆ จะช่วยบรรเทาอาการได้ แต่ไม่ควรดื่มรวดเดียว รวมถึงการรับประทานข้าวก็ควรทานทีละน้อย ๆ หากแพ้ท้องมาก อาจต้องทานครั้งละ 1 ช้อนแล้วเว้นระยะ 10 – 15 นาที แล้วค่อยทานอีกที คุณแม่หลายท่านจะมีพฤติกรรมการทานอาหารที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ของที่เคยชอบอาจไม่ชอบ และของที่ไม่เคยชอบกลับกลายเป็นชอบได้ เช่น คุณแม่บางท่านที่ทานมังสวิรัติก่อนตั้งครรภ์ พอตั้งครรภ์กลับมาทานเนื้อสัตว์แทน หรือคุณแม่ที่เคยทานเนื้อสัตว์มาก ๆ พอตั้งครรภ์กลับไม่ชอบและหันมาทานผักแทนก็มี

          หากตรวจพบว่ามีระดับคอเลสเตอรอลสูงในระหว่างตั้งครรภ์ก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะคอเลสเตอรอลเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเซลล์เนื้อเยื่อของลูก การเลือกทานไขมันดีก็มีประโยชน์เช่นกัน หมอแนะนำให้ทานน้ำมันปลา (fish oil) หรือ น้ำมันมะกอกชนิด Extra Virgin แบบที่ใช้ใส่สลัด วันละประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ จิ้มขนมปัง ใส่ผักทาน หรือจะโรยในอาหารที่เราทาน พวกไก่ย่าง เนื้อย่างได้หมดเลย จะช่วยเพิ่มไขมันดี (HDL) ในร่างกาย

Q: วิตามินที่จำเป็นในแต่ละช่วงของการตั้งครรภ์มีอะไรบ้าง?

A: ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ วิตามินหลักที่สำคัญคือ โฟลิกแอซิด (Folic Acid) และ น้ำมันปลา (Fish oil) เสริมด้วยวิ  ตามินบี (Vitamin B) 

  • โฟลิกแอซิด: มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยป้องกันความพิการทางสมองและไขสันหลังของทารก 
  • น้ำมันปลา : มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองของทารก โดย 60% ของสมองทารกประกอบด้วยโอเมก้า 3 คุณแม่สามารถทานโอเมก้า 3 วันละ 1 เม็ดขนาด 1,000 มิลลิกรัมต่อเนื่องไปจนถึงอายุครรภ์ประมาณ 36 สัปดาห์ จะช่วยพัฒนาให้เด็กมีความฉลาดมากยิ่งขึ้น 
  • วิตามินบี: ทานวันละ 100 มิลลิกรัมต่อวัน สามารถช่วยลดอาการแพ้ท้องได้ 

 

หลังจากอายุครรภ์ 12 สัปดาห์เป็นต้นไป คุณหมอจะให้วิตามินรวมที่มีธาตุเหล็ก (Iron) แคลเซียม (Calcium) และแอสไพริน (Aspirin) 

  • ธาตุเหล็ก: เป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ แต่คุณแม่มักจะได้รับจากสารอาหารไม่เพียงพอ ซึ่งสามารถพบได้ในเนื้อตับทั้งหมูและไก่ หรือผักสีเขียว แต่คุณแม่หลายๆ ท่านไม่ชอบทาน 
  • แคลเซียม: มีความสำคัญต่อการเสริมสร้างกระดูกและฟันของคุณแม่และทารกในครรภ์ 
  • แอสไพริน: ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่าการทานยาแอสไพรินขนาด 81 มิลลิกรัมหรือ 150 มิลลิกรัมต่อวัน ตั้งแต่ช่วงอายุครรภ์ 12 – 36 สัปดาห์ เป็นวิธีมาตรฐานในการป้องกันภาวะครรภ์เป็นพิษได้ 

การรับประทานวิตามินและแร่ธาตุเสริมควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณแม่และลูกน้อยได้รับสารอาหารที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุด 

Q: การทานอาหารเสริมมีผลข้างเคียงหรือต้องระวังอะไรเป็นพิเศษไหม?

A: วิตามินบางตัวอาจมีผลข้างเคียง เช่น ธาตุเหล็กที่ทำให้ท้องผูกุณแม่บางคนท้องผูกอยู่แล้วพอตอนท้องยิ่งท้องผูกไปอีก หมอขอแนะนำให้คุณแม่เพิ่มผลไม้ในทุกมื้ออาหาร โดยเฉพาะตระกูลกล้วยจะช่วยเรื่องการขับถ่ายได้ดีมาก ทั้งกล้วยหอม กล้วยน้ำว้าสัก 3 4 ผลต่อวัน ยกเว้นว่าคุณแม่เป็นเบาหวานในช่วงตั้งครรภ์ต้องระวังกล้วยเพราะมีระดับน้ำตาลสูง ในกรณีแบบนี้ต้องกินแก้วมังกร แอปเปิ้ลเขียว หรือฝรั่งแทน การเดินออกกำลังกายจะช่วยให้ลำไส้เคลื่อนตัวได้ดียิ่งขึ้น

          แต่หากปล่อยให้อาการท้องผูกรุนแรงอาจทำให้เกิดริดสีดวงทวารได้ โดยเฉพาะช่วงไตรมาสที่ 3 เพราะพอครรภ์ใหญ่ขึ้น  มดลูกที่ขยายใหญ่จะไปกดทับเส้นเลือดดำในช่วงครึ่งล่างของคุณแม่ ส่งผลให้เกิดอาการขาบวมและริดสีดวงทวารกำเริบ หากอุจจาระแข็งจนมีเลือดออกเป็นประจำ อาจนำไปสู่ภาวะโลหิตจางได้ คุณแม่บางรายอาจจำเป็นต้องใช้ยาระบายช่วย เช่น ยามะขามแขก (Senokot) ยาแล็กทูโลส (Lactulose) หรือบางทีใช้วิธีการสวน 

Q: ยาจีนและสมุนไพรโบราณบำรุงครรภ์ปลอดภัยไหม?

A: การทานยาจีนและสมุนไพรเพื่อบำรุงครรภ์เป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมาว่าจะช่วยให้ผิวพรรณของเด็กดีขึ้น ซึ่งคุณหมอไม่ได้คัดค้านในส่วนนี้ แต่เพื่อความปลอดภัยควรปรึกษาแพทย์ก่อนทานเสมอ 

Q: อาการแน่นท้องและกรดไหลย้อนขณะตั้งครรภ์รับมืออย่างไร?

A: อาการแน่นท้องและกรดไหลย้อนสามารถพบได้บ่อย เพราะในช่วงตั้งครรภ์หูรูดกระเพาะอาหารจะหลวม ส่งผลให้กรดไหลย้อนขึ้นมาได้ง่าย แนะนำให้ทานอาหารทีละน้อย แต่บ่อยครั้งขึ้น เคี้ยวอาหารให้ละเอียด และไม่ควรทานจนรู้สึกแน่นหรือจุกมากเกินไป ลดทานอาหารที่เผ็ดหรือเปรี้ยวมาก เพราะเมื่อกรดไหลย้อนขึ้นมาจะทำให้แสบทรวงอกได้ หากมีอาการไอหรือเจ็บคอร่วมด้วย ก็อาจเป็นผลมาจากกรดที่ย้อนขึ้นมาเช่นกัน 

Q: ขณะตั้งครรภ์สามารถดื่มชาหรือกาแฟได้ไหม?

A: ชาและกาแฟสามารถดื่มได้ตามปกติ โดยกาแฟไม่ควรเกินวันละ 2 แก้ว 

Q: ถ้าไม่สบายขณะตั้งครรภ์สามารถทานยาอะไรได้บ้าง?

A: หากไม่สบาย สามารถทานยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ยาลดไข้ หรือยาลดน้ำมูกได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทานยาเสมอ 

Q: คำแนะนำที่คุณหมออยากฝากถึงคุณแม่ตั้งครรภ์?

A: ส่วนใหญ่เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 14 สัปดาห์ คุณแม่หลายคนจะเริ่มทานอาหารได้มากขึ้นจนรู้สึกเหมือนเป็นคนละคน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ต้องระมัดระวังเรื่องน้ำหนักตัวที่อาจเพิ่มขึ้นมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทานน้ำตาลและแป้งที่มักจะเป็นของโปรดของคุณแม่ ทุกครั้งที่ทานหวานและแป้งตับอ่อนจะหลั่งอินซูลิน และอินซูลินจะทำให้ไขมันไปสะสมที่หน้าท้องและสะโพก ทำให้รูปร่างหลังคลอดเปลี่ยนแปลงและกลับมาเป็นปกติได้ยาก 

          นอกจากนี้ คุณแม่บางรายจะเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้ หากควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดี จะทำให้ทารกในครรภ์เป็นเด็กตัวใหญ่ น้ำหนักตัวเกิน 4 กิโลกรัม เด็กจะมีไหล่ที่กว้างทำให้การคลอดตามธรรมชาติเป็นไปได้ยากและอาจต้องผ่าคลอดในที่สุด ดังนั้น การควบคุมอาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญ คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการทานอาหารอย่างเหมาะสม เพื่อรักษาน้ำหนักตัวให้เป็นไปตามเกณฑ์และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

Q: ข้อควรระวังที่คุณหมออยากฝากคุณแม่?

A: ในช่วงตั้งครรภ์ คุณแม่ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีและมีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ ควรระมัดระวังเป็นพิเศษเรื่องความเสี่ยงของโรคนิ่วในถุงน้ำดี เนื่องจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจากรกจะทำให้ถุงน้ำดีเคลื่อนไหวช้าลง ส่งผลให้นิ่วตกตะกอนได้ง่าย หากมีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย หรือปวดบริเวณใต้ชายโครง ควรระวังไว้เป็นพิเศษ เพราะหากนิ่วหลุดไปอุดตันท่อน้ำดีใหญ่ จะทำให้เกิดอาการปวดท้องรุนแรง ตัวเหลือง และตาเหลืองได้ 

          การเลือกทานอาหารที่ดีและเหมาะสมคือหัวใจสำคัญของการดูแลสุขภาพตลอดการตั้งครรภ์ หากคุณแม่มีความเข้าใจในหลักโภชนาการที่ถูกต้อง รวมถึงการเลือกทานวิตามินและอาหารเสริมที่จำเป็น ก็จะช่วยให้ทั้งคุณแม่และลูกน้อยมีสุขภาพที่แข็งแรงพร้อมสำหรับการคลอดที่กำลังจะมาถึงค่ะ หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติใดๆ ควรปรึกษาแพทย์ทันทีนะคะ Brusta พร้อมเป็นกำลังใจและสนับสนุนคุณแม่ในทุกย่างก้าวของการตั้งครรภ์ เราเชื่อมั่นว่าคุณแม่ทุกคนจะสามารถรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลงได้อย่างดีค่ะ

ติดตาม “Brusta ปรึกษาการดูแลครรภ์กับคุณหมอพิชัย” ในตอนต่อไป เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพในช่วงตั้งครรภ์เพิ่มเติม