สารบัญ
Toggleรู้ก่อนปลอดภัย! การฝากครรภ์ไตรมาส 2 ที่คุณหมอสูติฯ แนะนำ
เมื่อก้าวเข้าสู่ไตรมาส 2 ของการตั้งครรภ์ ร่างกายของคุณแม่เริ่มปรับตัวเข้ากับการตั้งครรภ์ได้ดีขึ้น อาการแพ้ท้องที่เคยรบกวนใจมักจะเบาบางลง ทำให้คุณแม่รู้สึกสบายตัวและมีเรี่ยวแรงมากขึ้น แต่ช่วงนี้ยังคงเป็นช่วงเวลาสำคัญของการเฝ้าระวังสุขภาพของคุณแม่และพัฒนาการของลูกน้อย เพื่อเตรียมความพร้อมและคลายความกังวลให้คุณแม่ทุกท่าน Brusta ขอพาทุกท่านเข้าสู่ซีรีส์ “Brusta ปรึกษาการฝากครรภ์กับคุณหมอพิชัย” โดย นพ. พิชัย ลือประสิทธิ์สกุล สูตินรีเวชกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
Q: ในไตรมาส 2 คุณแม่ต้องไปพบแพทย์บ่อยแค่ไหน?
A: ในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งคือช่วงอายุครรภ์ 15 – 28 สัปดาห์ คุณแม่จะยังคงพบคุณหมอทุก ๆ 1 เดือน เพื่อติดตามสุขภาพและพัฒนาการของทารกอย่างต่อเนื่อง
Q: การฝากครรภ์ในไตรมาส 2 คุณหมอจะตรวจอะไรคุณแม่บ้าง?
A: ทุกครั้งที่มาตรวจครรภ์ เริ่มตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 จะมีการตรวจวัดความสูงของมดลูก (Fundal Height) จะวัดตั้งแต่ยอดมดลูกจนถึงขอบกระดูกหัวหน่าวว่าโตขึ้นหรือไม่ เช่นในช่วงอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ จะวัดได้ประมาณ 20 เซนติเมตร โดยทั่วไปมดลูกมักจะโตสัปดาห์ละ 1 เซนติเมตร รวมถึงทารกในครรภ์จะตัวยาวขึ้นอาทิตย์ละ 1 เซนติเมตร หากวัดแล้วครรภ์เล็กกว่าปกติ เราจะใช้อัลตราซาวด์เพื่อประเมินน้ำหนักตัวทารกที่แท้จริง ยกตัวอย่างเช่น อายุครรภ์ 26 สัปดาห์ ควรจะหนัก 650 กรัม ถ้าอายุครรภ์ 28 สัปดาห์ ควรจะหนักประมาณ 1.1 กิโลกรัม ถ้าอายุครรภ์ 8 เดือนควรจะหนักประมาณ 1.8 กิโลกรัม ถ้าอายุครรภ์ 34 สัปดาห์ ควรจะหนักประมาณ 2.2 กิโลกรัม ถ้าน้ำหนักตกเกณฑ์ให้ระวังภาวะรกเสื่อม เพราะภาวะรกเสื่อมน้ำคร่ำจะน้อย ทำให้เลือดไปเลี้ยงทารกน้อยลง พฤติกรรมของทารกในครรภ์จะปัสสาวะในถุงน้ำคร่ำด้วย ถ้าเกิดเลือดไปเลี้ยงไตเด็กน้อย ทารกจะปัสสาวะน้อยลง ทำให้มีน้ำคร่ำน้อยไปด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเกิดครรภ์เล็กแสดงว่ารกจะเริ่มเสื่อม เราจะต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะหากปล่อยไว้อาจทำให้ทารกหยุดดิ้นและหัวใจหยุดเต้นได้ บางทีอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ ใกล้คลอดแต่เด็กเสียชีวิตในครรภ์ก็มี อันนี้ก็ต้องระวัง การฝากครรภ์อย่างใกล้ชิดจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของทารกได้ หากรกในครรภ์เสื่อมมาก การนำทารกออกมาดูแลภายนอกอาจปลอดภัยกว่า เพราะแม้คุณแม่จะรับประทานอาหารอย่างดี แต่หากรกไม่สามารถทำหน้าที่ส่งสารอาหารให้ลูกน้อยได้เต็มที่ ทารกอาจมีภาวะตัวเล็ก และหากถึงจุดหนึ่งอาจเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นได้ ในกรณีเช่นนี้ การเร่งคลอดหรือผ่าตัดคลอดเพื่อนำทารกออกมาดูแลและส่งสารอาหารให้โดยตรงจะปลอดภัยกว่า
Q: การตรวจ MFM (Maternal-Fetal Medicine) มีความสำคัญอย่างไร?
A: MFM หรือ Maternal-Fetal Medicine เป็นการตรวจที่จะใช้เวลาตรวจประมาณ 30 นาที โดยคุณหมอที่ชำนาญเฉพาะทางด้าน MFM จะใช้อัลตราซาวด์รุ่นพิเศษที่มีความคมชัดสูง เพื่อตรวจดูรายละเอียดของโครงสร้างต่าง ๆ ของทารก เจาะลึกในเรื่องของความพิการตั้งแต่กำเนิด ไม่ว่าจะเป็นสมอง หัวใจ แขน ขา ปากเหว่งเพดานโหว่ เป็นต้น ถ้าเราตรวจเจอจะวางแผนในการรักษาในช่วงการคลอดได้ทันที ยกตัวอย่างเด็กที่ไม่มีผนังหน้าท้อง กรณีแบบนี้คลอดแล้วต้องได้รับการผ่าตัดทันที ถ้าทราบตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์เราจะเตรียมทีมแพทย์ไว้ในวันคลอด เด็กก็จะมีความปลอดภัยสูง
Q: การตรวจเพศของทารกสามารถทำได้เมื่อไหร่ และมีวิธีตรวจอย่างไร?
A: การตรวจเพศโดยใช้อัลตราซาวด์ก็จะเห็นได้ชัดเจน โดยทั่วไปในปัจจุบัน เราจะมีตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมตอนอายุครรภ์ 10 สัปดาห์ ใช้เวลาประมาณ 8 – 9 วันจะทราบผลเพศพร้อมผลการตรวจดาวน์ซินโดรม แต่ตามมาตรฐานจะใช้อัลตราซาวด์ทางช่องคลอดตอนอายุครรภ์ประมาณ 18 – 20 สัปดาห์ จะทำให้เห็นเพศของทารกได้อย่างชัดเจนกว่า คุณแม่จึงสามารถทราบเพศของลูกได้ตั้งแต่ประมาณ 3 เดือนเป็นต้นไป
Q: คุณแม่ควรมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมตลอดการตั้งครรภ์?
A: โดยทั่วไปตลอดการตั้งครรภ์ไม่ควรเกิน 16 กิโลกรัม และไม่ควรต่ำกว่า 11 กิโลกรัม ในช่วงไตรมาส 1 คุณแม่จะมีอาการแพ้ท้องเยอะ พยายามให้น้ำหนักขึ้นแค่ 1 กิโลกรัมก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ส่วนไตรมาส 2 ให้น้ำหนักขึ้นประมาณ 5 กิโลกรัม แต่คุณแม่บางคนอาจมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่า 2-3 เท่าของที่แนะนำ เพราะตอนนี้จะเริ่มทานได้มากขึ้น และทานหวาน ทานแป้ง ทำให้ทานได้เยอะ ส่วนไตรมาส 3 น้ำหนักจะขึ้นไม่เยอะเพราะคุณแม่จะเริ่มรู้สึกแน่นท้องและทานได้น้อยลง ในไตรมาส 2 อยากให้น้ำหนักขึ้นประมาณ 5 กิโลกรัม แต่ระวังว่าแฟนจะน้ำหนักเพิ่มตาม ฝ่ายชายน้ำหนักขึ้น 10 กิโลกรัมจะเจอเป็นประจำ เพราะบางทีคุณแม่ทานไม่หมดก็ยกให้คุณพ่อ หรือชวนกันกินมื้อดึก
Q: การตรวจเบาหวานขณะตั้งครรภ์มีขั้นตอนอย่างไร
A: การตรวจคัดกรองเบาหวานเราจะเริ่มในอายุครรภ์ประมาณ 6 เดือนเป็นต้นไป หรือในช่วงอายุครรภ์ 24 – 28 สัปดาห์ วิธีการตรวจจะให้คุณแม่กลืนน้ำหวาน 50 กรัม เพื่อตรวจเช็คเลือดในอีก 1 ชั่วโมงต่อมา ค่าน้ำตาลในเลือดไม่ควรจะเกิน 140 ถ้าเกินต้องตรวจชุดใหญ่ที่มีความแม่นยำสูงกว่าการตรวจคัดกรอง จะมีความยุ่งยากขึ้นต้องงดน้ำงดอาหารก่อนตรวจ 8 ชั่วโมง เมื่อมาถึงโรงพยาบาลก็จะเจาะเลือดก่อน หลังจากนั้นจะให้ดื่มน้ำหวาน ความหวานจะเป็น 2 เท่าเป็น 100 กรัม รสชาติจะหวานเจี๊ยบบางท่านจะดื่มไม่ไหวอาเจียนออกหมดทำให้การตรวจล้มเหลว หมอแนะนำให้เอามะนาวมา 1 ลูกและใส่น้ำแข็งเพื่อแต่งรสแล้วค่อย ๆ ดูดให้หมดใน 5 นาทีหลังจากนั้นจะจับเวลาเพื่อเจาะเลือด 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง 3 ชั่วโมงหลังจากดื่มน้ำหวาน แล้วจะเทียบทั้ง 4 ค่ารวมค่าก่อนทานว่าถ้าผิดปกติ 2 ค่าขึ้นไปแสดงว่าเป็นเบาหวาน ถ้าคุณแม่เป็นเบาหวานก็ต้องคุมอาหารเป็นหลัก หมอจะส่งตัวให้ทางอายุรแพทย์เบาหวานเค้าจะมีคำแนะนำเวลาปฏิบัติตัวต่าง ๆ ทั้งคุมอาหาร การออกกำลังกาย และคุณแม่ต้องเจาะเลือดปลายนิ้ววันนึงไม่ต่ำว่า 4 หน แต่ไม่ต้องกลัวเจ็บปลายเข็มจะเล็กนิดเดียว การเจาะเลือดแต่ละครั้งคุณแม่จะเรียนรู้ว่ากินอะไรแล้วค่าน้ำตาลในเลือดจะออกมาเป็นยังไงบ้าง พอถึงจุดนึงแทบจะไม่ต้องเจาะแล้ว จะชำนาญ แต่ถ้าไม่คุมปล่อยไปเรื่อย ๆ จะเกิดผลเสียเพราะน้ำตาลในตัวทารกจะสูงไปด้วย เด็กจะตัวใหญ่เกิน 4 กิโลกรัม ทำให้ไหล่กว้าง เวลาคลอดจะทำให้ติดไหล่ได้ ถ้าคลอดเองเด็กอาจจะกระดูกไหปลาร้าหักหรือดึงไม่ออกเด็กเสียชีวิตต้องระวัง ในลักษณะนี้การผ่าตัดทำคลอดจะปลอดภัยกว่า ลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นขณะทำคลอด
ไตรมาส 2 นับเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและความสบายใจที่คุณแม่จะได้สัมผัสพัฒนาการของลูกน้อยอย่างใกล้ชิด แต่ก็เป็นช่วงที่ต้องให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ การดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และการปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้การตั้งครรภ์ดำเนินไปอย่างปลอดภัย Brusta ขอให้คุณแม่ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างราบรื่น และเตรียมพร้อมสำหรับไตรมาส 3 อย่างมั่นใจ ด้วยคำแนะนำจาก นพ. พิชัย ลือประสิทธิ์สกุล
ติดตามบทความ Brusta ปรึกษาการฝากครรภ์กับคุณหมอพิชัย ในตอนต่อไป เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลครรภ์ในไตรมาส 3